ทัวร์ยะลา เบตง 3 วัน 2 คืน
ทัวร์
ระยะเวลา
3 วัน 2 คืน
สายการบิน
วันเดินทาง
19-21 ธ.ค. / 26-28 ธ.ค. 2563
Hilight

ใต้สุดแดนสยาม...ยลความงดงามทะเลหมอกแดนใต้
ธรรมชาติสงบแสนสวยงาม.......ผู้คนมากมิตรไมตรีจิต
วิถีชีวิตที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายหลากหลายวัฒนธรรม
อยู่เคียงข้างกันอย่างเกื้อกูลและสันติ สุขต้องตาต้องใจ
ณ.....เบตง ตรงมายะลา.....รับรองว่าสนุกไม่ผิดหวัง

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    วันแรก:กรุงเทพฯ – สนามบินหาดใหญ่ จ.สงขลา – วัดช้างให้ จ.ปัตตานี – เขื่อนบางลาง – เบตง ป้ายใต้สุดแดนสยาม-อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ – เบตงสตรีทอาร์ต-ตู้ไปรษณีย์ยักษ์ – หอนาฬิกา (L/D)
    • 05.00 น. พร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ณ อาคารผู้โดยสารภายในประเทศขาออก ชั้น 4  เคาน์เตอร์ C สายการบิน THAI SMILE โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
      07.05 น.    เหินฟ้าสู่ หาดใหญ่ โดยสายการบินไทยสมายล์ เที่ยวบินที่ WE259 BKK-HDY 0705-0830 (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน) (บริการอาหารว่างบนเครื่อง)
      08.30 น.    เดินทางถึงสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ มัคคุเทศก์ท้องถิ่นรอต้อนรับคณะ พร้อมนำคณะเดินทางสู่ จังหวัดปัตตานี รถจะแล่นไปตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 43 
      เป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมจังหวัดสงขลากับจังหวัดปัตตานี ท่านจะได้เพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์และธรรมชาติสองข้างทาง จนกระทั่งถึงวัดช้างไห้ <120 KMS // 2 HRS>
      นำท่านสักการะ วัดช้างให้ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า 300 ปี ตามตำนานกล่าวว่า พระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรีต้องการหาชัยภูมิสำหรับสร้างเมืองใหม่ให้กับน้องสาว จึงได้เสี่ยงอธิษฐานปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า โดยมีเจ้าเมืองและไพร่พลเดินติด ตามไป จนมาถึงวันหนึ่งช้างได้หยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งแล้วร้องขึ้นสามครั้ง พระยาแก้มดำจึงได้ถือเป็นนิมิตที่ดี จึงใช้บริเวณนั้นสร้างเมืองแต่น้องสาวไม่ชอบ พระยาแก้มดำจึงให้สร้างวัด ณ บริเวณดังกล่าวแทน แล้วให้ชื่อว่า วัดช้างให้ แล้วนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่ง ที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่านลังกา หรือ สมเด็จพะโคะ หรือ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดมาจำวัดอยู่ และหลวงปู่ทวดคือเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดช้างให้
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      บ่าย นำท่านแวะชมวิว เขื่อนบางลาง ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2524 ตามแผนพัฒนาลุ่มน้ำปัตตานี เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกของภาคใต้ เพื่อใช้อำนวยประโยชน์ในด้านการชลประทานแก่พื้นที่เพาะปลูกของจังหวัดยะลาและปัตตานี
      เป็นพื้นที่ 380,000 ไร่ซึ่งน้ำที่ปล่อยออกมาสามารถนำมาผลิตไฟฟ้าได้ จึงช่วยส่งเสริมระบบไฟฟ้าในภาคใต้ให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญในภาคใต้ ที่ช่วยเสริมอาชีพและรายได้แก่ราษฎรที่อาศัยอยู่ใกล้เขื่อนและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดยะลาอีกด้วย
      นำท่านเข้าชม เบตง อำเภอใต้สุดของประเทศไทย เบตงมีฉายาว่า "เมืองในหมอกและดอกไม้งาม" เป็นเมืองชายแดนที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองยะลา ประมาณ 129 กิโลเมตร เป็นเมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมของผู้คนต่างเชื้อชาติ ศาสนา และภาษาไว้อย่างกลมกลืน  
      แวะถ่ายรูป  ป้ายใต้สุดสยาม เป็นป้ายกั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศ มาเลเซีย มีเอกลักษณ์ลายเส้นแผนที่ประเทศไทยสีทองโดดเด่นสลักบนป้ายหิน
      อ่อน รายล้อมไปด้วยธรรมชาติและไม้ดอกไม้ประดับอันงดงาม เป็นสถานที่ถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ตั้งอยู่บริเวณชายแดนปลายสุดถนนทางหลวงหมายเลข 410 ห่างจากตัวเมือง 7 กิโลเมตร เป็นแนวเขตแดนระหว่างอำเภอเบตงกับรัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย อิสระให้ท่านถ่ายภาพเป็นที่ระลึกพร้อมเก็บความประทับใจ เบตงเป็นอำเภอที่มีความเจริญ เป็นที่ตั้งของ ตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีถนนเชื่อมโยงไปสู่ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซียด้วย นำท่านเข้าชม อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อุโมงค์ลอดภูเขาแห่งแรกของประเทศไทย อุโมงค์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขการจราจรและการขนส่งสินค้าระหว่างเมือง จากนั้นชม เบตงสตรีทอาร์ต ศิลปะผลงานนักศึกษาและคณาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากรวาดขึ้นบนกำแพงและ เนื่อในวันครบรอบเบตง 111 ปี สร้างความประทับใจให้แก่คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชม ถือเป็นแลนด์มาร์กอีกแห่งของเมืองเบตง 
      เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ โรงแรมแกรนด์ แมนดาริน เบตง 
      อิสระให้ท่านได้เดินเล่นบน ถนนคนเดินเบตง เพื่อชม หอนาฬิกาเบตง สำหรับในตัวเมืองเบตงแล้ว จุดที่ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คกลางเมืองก็ต้องยกให้ “หอนาฬิกาเบตง” ที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณสี่แยกจุดตัดของถนนสุขยางค์กับถนนรัตนกิจ เป็นหอนาฬิกาที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวล รูปทรงสมส่วนดูสง่างาม รอบๆ หอนาฬิกามีสายไฟพาดระโยงระยาง ในช่วงหัวค่ำตามสายไฟเหล่านี้จะมีนกนางแอ่นบินมาเกาะนิ่งอยู่เต็มไปหมด สัมผัสกับเมืองเบตงยามค่ำคืนอย่างจุใจ ที่นี่ท่านสามารถเลือกอุดหนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเบตงทั้งของกินและของใช้ ซึ่งมีให้เลือกซื้ออย่างจุใจตามอัธยาศัย 

  • Day 2
    วันที่สอง :อุโมงค์ปิยะมิตร-สวนดอกไม้หมื่นบุปผา-เฉาก๊วย กม.4-วัดพุทธาธิวาส- ชุมชนจุฬาภรณ์ พัฒนา 10-เบตง (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหาร ณ โรงแรมที่พัก
      08.30 ออกเดินทางไปชม อุโมงค์ปิยะมิตร เป็นอุโมงค์ที่ขุดโดยโจรจีนคอมมิวนิสต์มาเลเซีย อุโมงค์นี้เคยถูกใช้เป็นฐานในการหลบซ่อนตัว เป็นฐานปฏิบัติการ ฐานหลบภัยทางอากาศ และเป็นแหล่งสะสมเสบียงในการต่อสู้ของกลุ่มผู้ขัดแย้งทางการ เมืองในคาบสมุทรมลายู ในเวลาต่อมากลุ่มผู้ที่เคยใช้อุโมงค์นี้ในการพักพิงก็ไม่หลงเหลือ อยู่อีกต่อไปแล้ว หากแต่ห้องหับและร่องรอยที่พวกเขาทิ้งไว้ยังคงถูกจารึกเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์จากการรำลึกถึงอดีตแห่งการต่อสู้อันเจ็บปวด ภายในอุโมงค์ติดไฟสีเหลืองส้มนวลตาแต่ก็ชวนให้นึกถึงภาพอดีต อุโมงค์ถูกแบ่งออกเป็นห้องหรือช่องต่าง ๆ ตามการใช้งาน เช่น ห้องนอน ห้องเก็บเสบียง เป็นต้น อากาศภายในเย็นสบายไม่อึดอัด ใช้เวลาขุด 3 เดือน ความยาว 1 กิโลเมตร มีทางออก 9 เส้นทาง ปัจจุบันเหลือเพียง 6 เส้นทาง 
      ออกเดินทางต่อไปยัง สวนหมื่นบุปผา ซึ่งเป็นสวนไม้ดอกเมืองหนาวแห่งเดียวในภาค  ใต้ เป็นโครงการไม้ดอกเมืองหนาวอันเนื่อง มาจากพระราช ดำริอำเภอเบตง จ.ยะลา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้
      ทรงอักษรจีนพระราชทานนามสวนแห่งนี้ว่า ว่านฮัวหยวน แปลเป็นไทยว่า สวนหมื่นบุปผา ภายในสวนดอกไม้ โดยจะแบ่งเป็นแปลงปลูกไม้ดอกกลางแจ้ง อาทิเช่น  แกลดิโอลัส บานไม่รู้โรย ดาวเรือง ซัลเวีย ซ่อนกลิ่น ฮอลลีฮ็อก ผีเสื้อ พีค็อก แอสเตอร์จีน เสี้ยนฝรั่ง รักเร่ สร้อยทอง เป็นต้น มีกังหันลมแบบเนเธอร์แลนด์ สะพานท่ามกลางสวน และป้ายชื่อสวนดอกไม้บุบผาราม ที่ตั้งอยู่ข้างบนโดดเด่นตรงข้ามกับสวนดอกไม้กลางแจ้ง คือ สวนดอกไม้ในโรงเรือนที่มีดอกไม้หลากสี  ได้แก่ ลิลลี่ แอสเตอร์ เบญจมาศ กุหลาบ เยอบีร่า ตุ้มหูนางฟ้า และอีกหลายสายพันธุ์ แต่ดอกลิลลี่จะสามารถชมได้เฉพาะในช่วงฤดูหนาว ส่วนช่วงเทศกาลดอกไม้งามเบตง คือ เดือนมกราคม  
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย แวะชม วัดพุทธาธิวาส เดิมชื่อวัดเบตง ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เบตง ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญมีเนื้อที่ 23 ไร่ ภายในวัดพุทธาธิวาสมีบรรยากาศร่มรื่นและทัศนียภาพงดงามไปด้วยสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่น อาทิ พระพุทธธรรมกายมงคลประยุรเกศานนท์สุพพิธาน พระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และพระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ เป็นพระธาตุเจดีย์แบบศรีวิชัยประยุกต์สูง 39.90 เมตร พระธาตุเจดีย์องค์ประธานอยู่ตรงกลางโดยมีเจดีย์บริวารอยู่รายรอบ มีพระวิหารหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เป็นต้น 
      นำท่านแวะทาน เฉาก๊วยเบตง กม.4 (เจ้าแรก) เฉาก๊วยหรือวุ้นดำ เป็นขนมขึ้นชื่อของอำเภอเบตง ซึ่งทำจากหญ้าชนิดหนึ่งที่มีปลูกในประเทศจีน เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษซึ่งอพยพมาจากประเทศจีน และถ่ายทอดให้ลูกหลานได้ทำสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน โดยนิยมรับประทานเฉาก๊วยกับน้ำเชื่อมและเติมน้ำแข็ง ข้อแตกต่าง
      ของเฉาก๊วยเบตงนั้นคือ เนื้อวุ้นเด้งดึ๊งไม่นิ่มจนเกินไป ทานแล้วละมุนลิ้น ร้านเฉาก๊วยดั้งเดิมคือ บ้านไม้ดั้งเดิมเจ้าแรกซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะทานกันที่ร้านนี้ และที่สำคัญไม่ใช่ว่ามาถึงแล้วจะสั่งทานได้เหมือนร้านทั่วไป ต้องโทรจองล่วงหน้าถึงจะได้ทาน 
      นำท่านออกเดินทางไปยัง หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 10 <7 KMS // 20 MIN> เริ่มแรกจากการที่พรรคคอมมิวนิสต์มาลายาได้ยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธและสลายกองกำลังมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยตามข้อตกลงการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ 3 ฝ่าย สมเด็จพระเจ้า
      ลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารีในรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชประสงค์จะทำการพัฒนาโครงการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรในพื้นที่ของจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส เพื่อให้เกิดความมั่นคงภายในพื้นที่แนวชายแดน จึงได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมทรงรับหมู่บ้านรัตนกิตติ2 เข้าร่วมโครงการและทรงพระราช
      ทานชื่อหมู่บ้านใหม่เป็น “หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 10” ปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศผสมผสานกับการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์
      นำชม พิพิธภัณฑ์ศูนย์เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชน แหล่งรวมอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ อาทิ อาวุธปืน อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องดนตรี อุปกรณ์ติดต่อสื่อสาร ภาพถ่าย เป็นต้น จากนั้น ออกเดินสำรวจป่าศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ป่าฮาลาบาลา 
      ชมต้นไม้ยักษ์พันปีขนาด 40 คนโอบ ชมค่ายสู้รบ ห้องวิวาห์ ศาลากลางป่า สมุนไพรกลางป่า เรียนรู้การอยู่ร่วมกับป่า ชมวิถีเศรษฐกิจพอเพียงในชุมชน พร้อมทั้งชมวิถีชีวิตชนเผ่าอัสรี สาธิตวิธีการเป่าลูกดอก และเป่าเครื่องดนตรี ดื่มด่ำกับบรรยากาศป่าเขาโอบล้อม สูดออกซิเจนให้เต็มปอดก่อนออกไปผ่อนคลายกับกิจกรรมสบายๆ จิบชายามบ่าย 
      แช่เท้าสมุนไพร พูดคุยแลกเปลี่ยนฟังเรื่องเล่าความเป็นมาของชุมชนและประสบการณ์การใช้ชีวิตในป่า ก่อนมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
      เย็น เดินทางกลับสู่เขตเมืองเบตง
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ โรงแรมแกรนด์ แมนดาริน เบตง 

  • Day 3
    วันที่สาม :สกายวอล์คทะเลหมอกอัยเยอร์เวง-สะพานแตปูซู-หาดใหญ่-ตลาดกิมหยง-กรุงเทพฯ (B/L/D)
    • 04.00 น. ตื่นแต่เช้าตรู่ ออกเดินทางไปชม ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง จุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ขึ้นชื่อในเรื่องการชมพระอาทิตย์ขึ้นรับแสงแรกแห่งวันควบคู่ไปกับการชมทะเลหมอกอันงดงามซึ่งสามารถเห็นทะเลหมอกได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ก็ยังมีวิวทิวทัศน์ของผืนป่าฮาลา-บาลา ทะเลสาบเขื่อนบางลาง รวมถึงสามารถมองไปไกลได้ถึงประเทศมาเลเซียเลยทีเดียว บริเวณจุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ยังมี สกายวอล์คทะเลหมอกอัยเยอร์เวง 
      (Skywalk) ตั้งอยู่บนระดับความสูง 621 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สามารถชมวิวทิวทัศน์ได้รอบทิศทาง 360 องศา สกายวอล์คอัยเยอร์เวงมีความสูง 45 เมตร ไฮไลท์ที่สำคัญ คือระเบียงทางเดินพื้นกระจกใสยาว 61 เมตร นับเป็นสกายวอล์คที่ยาวที่สุดในอาเซียน
      07.00 น. คณะเดินทางไปชม สะพานแตปูซู เป็นสะพานแขวนแบบพื้นไม้ มีความกว้าง 1.8 เมตร ยาวกว่า 100 เมตรข้ามแม่น้ำปัตตานี สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยอดีตกำนันผู้บุกเบิกตำบลอัย เยอร์เวง ชื่อนายมูเซ็ง แตปูซู (ปู่ของนายอัครเดช แตปูซู ผู้ใหญ่บ้าน กม.32 คนปัจจุบัน) ช่วยกันระดมพลังและเงินสมทบจากชาวบ้านร่วมกับราชการที่ไม่เพียงพอ เพราะต้องสั่งสายสลิงสำหรับยึดโยงตัวสะพานจากญี่ปุ่น ซึ่งสมัยนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก เพื่อช่วยเหลือความยากลำบากของชาวบ้านที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำซึ่งในขณะนั้นต้องใช้แพไม้ไผ่ข้ามไปมาทำให้ชาวบ้านโดยเฉพาะเด็กๆ ต้องเสียชีวิตทุกปี เวลาขนย้ายผลผลิตการเกษตรหรือคนป่วยก็ลำบากแสนสาหัส การก่อสร้างสะพานแตปูซูขึ้นมาโดยการร่วมแรงร่วมใจกันจึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของชาวกม.32 ในการเอาชนะธรรมชาติและแสดงถึงความรักสามัคคีของคนในชุมชน  นำท่านออกเดินทางไปยัง สนามบินหาดใหญ่<270 KMS // 5 HRS>
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      บ่าย เดินทางกลับไปยังเมืองหาดใหญ่ อิสระให้ท่านเลือกซื้อของฝาก ณ ตลาดกิมหยง ซึ่งเป็นตลาดขายของฝากและของที่ระลึกขนาดใหญ่ในอำเภอหาดใหญ่ 
      เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ร้านไก่ทอดเดชา มาหาดใหญ่แล้วต้องมาลิ้มลองอาหารถิ่นที่ขึ้นชื่อ คือไก่ทอดเดชา ข้าวหมกไก่
      หลังอาหาร เดินทางไปยังสนามบินหาดใหญ่ เพื่อเตรียมขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ
      20.55 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบินไทยสมายล์ เที่ยวบินที่ WE268 HDY-BKK 
      20.55-22.20 (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน) (บริการอาหารว่างบนเครื่อง)
      22.20 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
        ***************************************

Top